วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ครีม-โลชั่น-เซรั่ม ต่างกันอย่างไร?

มีเนื้อหาสาระดีๆมาฝากผู้ที่สนใจกันอีกแล้วค่ะ หลายคนสงสัยว่า ครีม โลชั่น เซรั่ม มันต่างกันยังไง?? แล้วเลือกแบบไหนดี วันนี้มีคำตอบค่ะ


      เพราะสภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ บางคนผิวแห้ง บางคนผิวมัน บางคนผิวผสม การเลือกใช้ครีมที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น บางคนผิวมันอยู่แล้วแต่ไปเลือกใช้แบบครีม สิ่งที่เกิดตามมาก็จะเป็นปัญหาความมันที่เพิ่มขึ้นไปจนถึงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่เล็กอย่างสิว.. เมื่อเกิดขึ้นก็ยากที่จะหาย รวมทั้งรอยด่างดำ แผลเป็นที่ตามมาอีก ส่วนคนที่ผิวแห้งแต่เลือกใช้แบบเจล ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มที่ในเรื่องความชุ่มชื้นของครีมแล้ว อาจเจอปัญหาหน้าแห้ง หน้าลอกตามมาเช่นกัน
ไม่ว่าครีมนั้นจะราคาแพงเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ช่วยให้ผิวของเราดีขึ้นทุกคนค่ะ มันขึ้นอยู่กับว่าครีมประเภทนั้นเหมาะกับผิวของเราหรือเปล่า?

ครีมบำรุงผิวที่ดี คือครีมที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เลียนแบบไขมันที่ร่างกายเราผลิตขึ้นเอง เช่น มีส่วนผสมของเซราไมด์ ไฮยาลูโรนิค หรือคอลลาเจน (หาอ่านได้จากใบแทรกในกล่อง) การใช้ครีมบำรุงนั้นนอกจากจะทำให้ผิวพรรณดูชุ่มชื้นอยู่เสมอแล้ว ถ้าเราเลือกใช้อย่างถูกประเภทยังช่วยทำให้โรคผิวหนังบางชนิด เช่นโรคผื่นแพ้ หรือโรคเซ็บเดิร์ม บรรเทาลงได้

แล้วแต่ละตัวมันต่างกันอย่างไร?
คราวที่แล้วเราทราบไปแล้วว่ามีอะไรอยู่ในครีมบำรุงผิวที่เราใช้ ตอนนี้ก็มาเลือกประเภทของครีมบำรุงกันนะคะว่าเราจะใช้แบบไหนดี?

ครีม Cream : มีส่วนผสมของน้ำมันมากกว่าน้ำ จึงทำให้เนื้อครีมมีความเข้มข้นสูง ยิ่งถ้ามีส่วนผสมของ wax อยู่มาก จะยิ่งทำให้ครีมนั้นมีลักษณะค่อนข้างเหนียวเหนอะหนะ ลักษณะของครีมบำรุงผิวประเภทนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งถึงแห้งมาก


โลชั่น Lotion : มีส่วนผสมของน้ำมากกว่าน้ำมัน ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเหลวหรือน้ำนม เหมาะสำหรับคนที่มีผิวผสม



เซรั่ม Serum : คือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์อยู่ในปริมาณค่อนข้างสูงกว่า เมื่อเทียบกับแบบที่เป็นเนื้อครีม เนื้อเจล หรือเนื้อโลชั่น



เจล Gel
:
ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันอยู่เลย จึงปราศจากความมัน ไม่ระคายผิวและไม่มีตัวกระตุ้นที่ก่อให้เกิดสิว เหมาะมากสำหรับคนผิวมัน



TIPS สำหรับการใช้ครีมบำรุงผิว

• หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือเย็นจัดเกินไป เพราะทำให้ร่างกายปรับสภาพผิวได้ยากและเกิดการสูญเสียน้ำเร็วขึ้น
• ให้ทาครีมบำรุงในขณะที่ผิวกำลังเปียกชื้น เช่นหลังล้างหน้า เพื่อช่วยให้เนื้อครีมซึมลงสู่ผิวได้รวดเร็วขึ้น หากต้องทาในขณะที่ผิวแห้ง ให้ใช้น้ำพรมเล็กน้อยบนผิวก่อนทา

• สำหรับคนที่มีผิวแห้งมากหรือผิวแพ้ง่าย อย่าลืมทดสอบครีมกับผิวก่อนซื้อนะคะ ว่าเข้ากับผิวเราหรือก่อให้เกิดอาการคันหรือผื่นแพ้หรือไม่?


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
www.BlogGang.com

9 เกร็ดความรู้ดีๆ สำหรับสาวๆที่อยากสวย เป๊ะ

สวัสดีค่ะวันนี้เรามีเกร็ดความรู้ดีๆมาฝากสำหรับผู้ที่สนใจกันนะค่ะ มาดูเกร็ดความรู้ว่ามีอะไรกันบ้างที่ทำให้สวย เป๊ะ อะไรที่ควรหลีกเลี่ยงนะค่ะ อยากรู้กันแล้วสิค่ะ เชิญอ่านกันได้เลย...

1. กินช๊อกโกแลต ทำให้เกิดสิว???


      จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาหรืองานวิจัยใดๆ ที่สนับสนุนว่าความเชื่อดังกล่าวเป็นจริง ในต่างประเทศได้มีการทดลองทฤษฎีนี้ โดยแบ่งคนเป็นสิวที่มีความรุนแรงเท่าๆ กันออกเป็น 2 กลุ่ม ให้กลุ่มแรกงดกินช๊อกโกแลตเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ส่วนกลุ่มหลังให้กินช๊อกโกแลต 3 แท่งต่อสัปดาห์ติดต่อกันเป็นเวลานาน 4 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการกินช๊อกโกแลต เป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นจริงเหมือนที่หลายๆคนเชื่อกัน...แต่ทำให้อ้วนได้แน่นอนเชียว ชัวส์เลยค่ะ

2. ค่า SPF ในครีมกันแดดยิ่งสูงยิ่งกันแดดได้ดีจริงป่ะ??

      
       SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าที่บอกว่าผิวของคุณสามารถทนต่อแสงแดดได้นานเท่าไหร่ โดยไม่เกิดผิวไหม้ เช่น ถ้าคุณไปตากแดดแล้วเกิดผิวไหม้ภายใน 15 นาที หลังใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 แล้วจะช่วยทำให้ผิวของคุณทนต่อการไหม้ของแดดได้นานขึ้นถึง 15x15=225 นาที ส่วนค่า SPF ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ผิวป้องกันแสงแดดได้มากขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น SPF 30 กันแดดได้ 97% SPF 60 กันได้ 98-98.5% จะเห็นว่า SPF จาก 30 เป็น 60 ช่วยกันแดดได้เพิ่มขึ้นเพียง 1-1.5% เท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมาก ดังนั้น ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ จึงไม่ได้ดีกว่าเสมอไป

3. วิตามินและอาหารเสริมเพื่อเพิ่มความสวย


       การรับประทานวิตามินและอาหารเสริม กลายเป็นกระแสนิยมไปแล้วในขณะนี้ เนื่องจากมีโฆษณาชวนเชื่อมากมาย อ้างว่า สามารถทำให้ผิวสวยสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกได้ หากคุณอยู่ดี กินดีไม่ได้อดมื้อกินมื้อ วิตามินและอาหารเสริม ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะการรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่และผักผลไม้สดๆ ย่อมได้คุณค่าทางอาหารมากกว่าอยู่แล้ว แถมราคายังถูกกว่าอีกด้วย จริงไหมคะ??


4. สนไหม..สมุนไพรพอกหน้าให้ด่างดำ :D


        การใช้สมุนไพรพอกหน้า จากสถานเสริมความงาม หรือทำด้วยตัวเองต้องระวังมากเป็นพิเศษ เพราะหากโชคไม่ดีแทนที่จะได้หน้าขาวใสกลับได้รอยด่างดำแทน เพราะพืชสมุนไพรบางชนิด เช่น มะนาว มะกรูด มีสารที่ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบและรอยดำหลังจากสัมผัสสารนั้นแล้วไปตาก แดด ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงดีกว่าค่ะ

5. ที่มาของปัญหาผิวแตกลาย


        ผิวแตกลาย เป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยรุ่นที่โตเร็ว นักกีฬาเล่นกล้าม หญิงตั้งครรภ์และโรคที่มีความผิดปกติของฮอร์โมน การที่ร่างกายมีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผิวหนังขยายตัวยืดตามไม่ทันจึง เกิดเป็นรอยแผลย่นขึ้น ระยะแรกผิวแตกลายมีสีแดงและจะกลายเป็นสีขาวออกวาวๆในระยะหลัง การทายาในกลุ่มกรดวิตามินเออาจทำให้ดีขึ้นได้บ้าง ส่วนการรักษาเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

6. มอยส์เจอไรเซอร์จำเป็นมากขาดไม่ได้

         มอยส์เจอไรเซอร์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณซึ่งมีหลากหลายชนิดให้เลือก ใช้ โลชั่นเหมาะสำหรับคนที่มีผิวผสมหรือผิวแห้งในบางพื้นที่ ครีมเหมาะกับคนผิวแห้งซึ่งควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวอุดตันภายหลัง ส่วนผิวแพ้ง่ายให้เลือกชนิดที่ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอม และระบุว่าเป็น Hypoallergenic ใครที่หน้ามันอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เลยก็ได้ เพราะผิวมีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว


7. ครีมกันแดดสำหรับวันที่มีแดดเท่านั้น


        เป็นที่ทราบกันดีว่ารังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด สามารถทำให้ผิวหนังไหม้ เกิดริ้วรอย กระ ฝ้าและมะเร็งผิวหนังได้ มีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่า ถ้าแดดไม่ออกหรือเวลาไปเที่ยวต่างประเทศที่มีเมฆครึ้มหิมะตก ก็ไม่ต้องทาครีมกันแดดซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะถึงแม้ว่าเมฆจะหนาทึบเพียงใด 80% ของรังสีอัลตร้าไวโอเลตยังคงลอดผ่านลงมาอยู่ดี หรือแม้แต่แสงจากไฟในห้องก็ตามค่ะ

8. ขนคุด ที่มาและวิธีกำจัด

        ขนคุด เกิดจากเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้ขนไม่สามารถงอกออกมาได้อย่างปกติ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเม็ดเล็ก ๆ คลำแล้วรู้สึกสาก ๆ บริเวณที่พบบ่อยคือต้นแขนและต้นขา ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ บางครั้งอาจมีการอักเสบร่วมด้วยทำให้เห็นเป็นตุ่มแดง พบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้ การทายาประเภทอนุพันธ์ของกรดวิตามิน AHA หรือ BHA จะทำให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าหยุดก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก

9. นอนผิดท่าใบหน้ามีริ้วรอย


        เคยไหมคะว่า ที่คุณพบว่าใบหน้ามีรอยย่นหลังตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้า หรือว่าร่องแก้มด้านหนึ่งมีรอยลึกมากกว่าอีกด้าน ริ้วรอยที่เกิดขึ้นนี้ มีผลมาจากการนอนในท่าที่มีการกดทับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมงที่เรียกว่า "สลีฟ ลายน์" คนที่ชอบนอนคว่ำหรือนอนตะแคงอาจเกิดรอยแบบนี้ได้มาก หากคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งประสบปัญหานี้ให้ลองฝึกนอนหงายดูนะคะ เพราะการนอนหลับในท่านอนหงายจะดีที่สุดสำหรับผิวหน้าของคุณค่ะ

ข้อมูลจาก http://www.auengfah.com